ฟิลเลอร์ (Filler)

 

ฟิลเลอร์ (Filler)

 

 

 

คือ สารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (HA) มีลักษณะเป็นเนื้อเจล มีคุณสมบัติช่วยกักเก็บน้ำและความชุ่มชื้น (Hydration) อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นใต้ผิวหนัง (Increase Elasticity)  ซึ่งเป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่ได้รับการรับรองโดยองค์กรอาหารและยาจากประเทศสหรัฐอเมริกา (FDA) ว่าเป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่มีความปลอดภัยสูง ช่วยเติมเต็มชั้นผิวหรือส่วนที่มีการยุบตัวของกระดูกเนื่องจากอายุที่เพิ่มขึ้น แก้ไขปัญหาผิว รอยหมองคล้ำ ริ้วรอยร่องลึก บริเวณต่างๆ ของใบหน้า ให้กลับมาดูอ่อนเยาว์ กระชับ เปล่งปลั่ง เรียบเนียน สุขภาพดี

 

 

ประเภทของฟิลเลอร์

 

  1. ฟิลเลอร์ถาวร (Permanent Filler) ผลลัพธ์อยู่ได้ถาวร ตัวอย่างสารที่อยู่ในกลุ่มนี้ เช่น Biosynthetic Polymers, Poly Acrylamide (Aquamid Aquaderm), Polymethylmethacrylate Beats (PMMA Microspheres), ซิลิโคนเหลว และ พาราฟิน เป็นต้น ฟิลเลอร์ชนิดนี้เป็นสารพลาสติกสังเคราะห์ ซึ่งยังไม่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในประเทศไทย นิยมนำมาฉีดบริเวณใบหน้า หน้าอกและสะโพก

 

ข้อเสียคือ หลังฉีดจะมีการไหล แข็งตัวผิดรูป ไม่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ ทำให้ตกค้างอยู่ภายในชั้นผิวและเกิดผังพืด ถ้าจะเอาออกต้องทำการผ่าตัดเพื่อขูดออก ไม่สามารถฉีดสลายได้ ข้อสังเกตคือ จะมาในลักษณะของหลอดฉีดยาเดียว ไม่ได้อยู่ในกล่องแพ็คมาและราคามักจะถูกกว่าราคาตลาดมาก ปัจจุบันฟิลเลอร์ประเภทนี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มสารอันตราย

 

  1. ฟิลเลอร์กึ่งถาวร (Semi Permanent Filler) ผลลัพธ์อยู่ได้ 2 – 5 ปี ตัวอย่างสารที่อยู่ในกลุ่มนี้ เช่น Calcium Hydroxyapatite (CaHA) หรือ Calcium Filler เป็นต้น สารชนิดนี้เมื่อฉีดเข้าสู่ชั้นผิวจะทำการเปลี่ยนสภาพเป็นเหมือนแคลเซียมของกระดูก นิยมนำมาฉีดบริเวณมือ หน้าอกและสะโพก ซึ่งสารชนิดนี้ยังไม่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในประเทศไทย จึงยังไม่พบการใช้ในไทย มีการใช้ในต่างประเทศ
  2. ฟิลเลอร์ชั่วคราว (Non-Permanent Filler หรือ Temporary Filler) ผลลัพธ์อยู่ได้ 6 เดือน – 2 ปี ตัวอย่างสารที่อยู่ในกลุ่มนี้ คือ Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็น Polysaccharide หรือ น้ำตาลเชิงซ้อน มีคุณสมบัติช่วยกักเก็บน้ำใต้ชั้นผิว ฟิลเลอร์ชนิดนี้เป็นที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในประเทศไทย ได้รับการรับรองว่าปลอดภัย นิยมนำมาฉีดบริเวณใบหน้า ลำคอ และมือ

 

ข้อดีคือ มีความปลอดภัยสูง ฉีดแล้วไม่ไหลและสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ โดยกระบวนการทำงานของร่างกาย ไม่ทิ้งสารตกค้าง เนื่องจากสาร Hyaluronic Acid เป็นสารที่สร้างเลียนแบบสารที่มีอยู่ตามธรรมชาติภายในร่างกายของเรา ซึ่งสารชนิดนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญของคอลลาเจน พบบริเวณผิวหนังชั้นหนังแท้และกระดูกอ่อน

 

เนื่องจากคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบหลักของผิว ทำหน้าที่สร้างความเต่งตึงให้กับชั้นผิว เมื่อเราอายุเพิ่มขึ้น จำนวนคอลลาเจนลดน้อยลง ชั้นผิวหนัง (SMAS) เกิดการยุบตัว เส้นเอ็นยึดผิว (Retaining Ligament) หย่อนคล้อยลง ทำให้เกิดริ้วรอยขึ้น จึงได้มีการเติมสาร HA เข้าไปทดแทนส่วนที่สลายไป โดยแพทย์จะทำการฉีดสาร HA เข้าไปบริเวณใต้ผิวหนัง สาร HA จะดูดซับน้ำจากเนื้อเยื่อบริเวณโดยรอบแล้วเกิดการพองตัว ส่งผลให้บริเวณที่ฉีดเต่งตึง ริ้วรอยจางลง ใบหน้าอ่อนเยาว์ โดยสารชนิดนี้เมื่อถึงเวลาจะถูกสลายไปโดยเอนไซม์ Hyaluronidase ภายในร่างกาย ปัจจุบันจึงนิยมนำมาฉีดเพื่อการรักษาและความสวยงาม

 

 

ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ Hyaluronic Acid (HA)

 

 

 

 

  1. เติมเต็ม ลดริ้วรอย และปรับแก้ไขรูปทรงที่บกพร่อง บริเวณที่สามารถฉีดได้ ได้แก่ หน้าผาก ขมับ จมูก แก้ม แก้มตอบ ร่องแก้ม ร่องมุมปาก ร่องน้ำตา ปาก คาง กรอบหน้า คอ มือ และติ่งหู เป็นต้น
  2. ยกกระชับใบหน้า ชะลอวัย เมื่ออายุเยอะขึ้นจะพบว่าโครงสร้างผิวเสื่อมลง ชั้นไขมันลดลง ชั้นกระดูกยุบตัวลง เส้นเอ็นยึดผิวหย่อนตัว การที่ฉีดฟิลเลอร์ (Hyaluronic Acid) จะทำให้เส้นเอ็นยึดผิวยึดได้ดีขึ้น ทำให้ผิวเกิดการยกกระชับขึ้น
  3. ช่วยฟื้นฟูสภาพผิว ให้ผิวสวยดูดีเป็นธรรมชาติ เนื่องจากสาร HA มีคุณสมบัติอุ้มน้ำใต้ผิว (Hydration) และกระตุ้นการสร้างเส้นใยอีลาสติน คอลลาเจน (Increase Elasticity) ทำให้ผิวเรียบเนียน (Smoothness) รูขุมขนกระชับ ผิวชุ่มชื้นฉ่ำวาว
  4. เป็นวิธีการรักษาที่ปลอดภัย เนื่องจากฟิลเลอร์ (Hyaluronic Acid) ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในประเทศไทย ถึงการไม่มีสารตกค้างภายในร่างกายและสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ
  5. หลังฉีดฟิลเลอร์ (Hyaluronic Acid) จะเห็นผลลัพธ์ทันที และ ไม่ต้องพักฟื้น

 

 

ยี่ห้อของฟิลเลอร์ ที่ชินวีย์ คลินิกเลือกใช้

 

 

 

 

ฟิลเลอร์ที่ทางคลีนิคเลือกใช้จะเป็นชนิด Hyaluronic Acid ที่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในประเทศไทย ซึ่งในแต่ละยี่ห้อและแต่ละรุ่นจะมีกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีและขั้นตอนที่แตกต่างกัน จึงทำให้ระยะเวลาของผลลัพธ์และคุณสมบัติทางกายภาพไม่เหมือนกัน ทั้งในเรื่องของคุณสมบัติความหนืดของฟิลเลอร์ ความยืดหยุ่นของฟิลเลอร์ (Viscoelasticity) และปริมาณความเข้มข้นของ Hyaluronic Acid ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 3 ยี่ห้อ ดังนี้

 

1.1 Restylane จากประเทศสวีเดน มีทั้งหมด 7 รุ่นดังนี้

 

– Restylane Perlane Lyft ผลลัพธ์อยู่ได้ 12-18 เดือน

– Restylane Vital ผลลัพธ์อยู่ได้ 6 เดือน

– Restylane Vital Light ผลลัพธ์อยู่ได้ 6-12 เดือน

– Restylane Volyme ผลลัพธ์อยู่ได้ 12-15 เดือน

– Restylane Defyne ผลลัพธ์อยู่ได้ 18 เดือน

– Restylane Refyne ผลลัพธ์อยู่ได้ 12 เดือน

– Restylane Classic ผลลัพธ์อยู่ได้ 12 เดือน

 

โดยแต่ละรุ่นสามารถแบ่งตามเทคโนโลยีการผลิต (Gel Technologies) ได้เป็น 2 ประเภทดังนี้

 

  1. NASHA Technologies เป็นเทคโนโลยีที่ผลิตมาเพื่อเหมาะสำหรับการยกกระชับ (Lifting Capacity) ตัวอย่างฟิลเลอร์ เช่น Restylane Vital, Restylane Vital Light, Restylane Perlane Lyft และ Restylane Classic เป็นต้น
  2. OBT Technologies เป็นเทคโนโลยีที่เกิดหลังการผลิตแบบ NASHA เหมาะสำหรับแก้ไขปัญหาเติมเต็ม มีเนื้อเจลที่เนียนและยืดหยุ่นเป็นธรรมชาติ ตัวอย่างฟิลเลอร์ เช่น Restylane Volyme, Restylane Defyne และ Restylane Refyne เป็นต้น

 

1.2 Juverderm จากประเทศอเมริกา มีทั้งหมด 7 รุ่นดังนี้

 

– Juvederm Ultra Plus ผลลัพธ์อยู่ได้ 12 – 15 เดือน

– Juvederm Ultra ผลลัพธ์อยู่ได้ 12 – 15 เดือน

– Juvederm Voluma ผลลัพธ์อยู่ได้ 2 ปี

– Juvederm Volbella ผลลัพธ์อยู่ได้ 1 – 1.5 ปี

– Juvederm Volift ผลลัพธ์อยู่ได้ 1 – 1.5 ปี

– Juvederm Volite ผลลัพธ์อยู่ได้ 9 เดือน

– Juvederm Volux ผลลัพธ์อยู่ได้ 1.5 – 2 ปี

 

โดยแต่ละรุ่นสามารถแบ่งตามเทคโนโลยีการผลิต (Gel Technologies) ได้เป็น 2 ประเภทดังนี้

 

  1. Hyacross Technologies เป็นเทคโนโลยีการผลิตแบบดั้งเดิม มีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ดี ตัวอย่างฟิลเลอร์ เช่น Juvederm Ultra และ Juvederm Ultra Plus เป็นต้น
  2. Vycross Technologies เป็นเทคโนโลยีที่ผลิตมาเพื่อเหมาะสำหรับการยกกระชับ (Lifting Capacity) ตัวอย่างฟิลเลอร์ เช่น Juvederm Voluma, Juvederm Volift, Juvederm Vobella และ Juvederm Volite เป็นต้น

 

1.3 Neuramis จากประเทศเกาหลี มีทั้งหมด 1 รุ่นคือ

 

– Neuramis Deep ผลลัพธ์อยู่ได้ 6-8 เดือน

 

1.4 Belotero จากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ผลิตด้วยเทคโนโลยี CPM Technology ทำให้มีคุณสมบัติเรียบเนียนไปกับผิว มีทั้งหมด 4 รุ่นดังนี้

 

– Belotero Soft ผลลัพธ์อยู่ได้ 12-18 เดือน

– Belotero Balance ผลลัพธ์อยู่ได้ 12-18 เดือน

– Belotero Intense ผลลัพธ์อยู่ได้ 12-18 เดือน

– Belotero Volume ผลลัพธ์อยู่ได้ 12-18 เดือน

 

 

เทคนิคการฉีดฟิลเลอร์

 

  1. Beautification การใช้ฟิลเลอร์เพื่อปรับเปลี่ยนบางส่วนของใบหน้าให้ดูสวยขึ้น
  2. Transformation การใช้ฟิลเลอร์เพื่อปรับเปลี่ยนใบหน้าให้แตกต่างไปจากเดิม เพิ่ม Highlighting บนใบหน้า
  3. Correction การใช้ฟิลเลอร์เพื่อปรับรูปหน้าให้สมส่วน เช่น การปรับแนวกรามและแนวคางให้มีความสมมาตรกับรูปหน้า เป็นต้น
  4. Positive Aging การใช้ฟิลเลอร์เพื่อยกกระชับใบหน้า ทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์

 

 

บริเวณที่นิยมฉีดฟิลเลอร์ และยี่ห้อฟิลเลอร์ รุ่นฟิลเลอร์ ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ในแต่ละตำแหน่ง

 

 

 

 

โดยฟิลเลอร์ในแต่ละยี่ห้อและแต่ละรุ่น เหมาะกับการฉีดในแต่ละตำแหน่งของใบหน้า ดังนี้

 

– ขมับ

 

นิยมใช้ ฟิลเลอร์

  • แบรนด์ Juvederm รุ่น Ultra Plus ,Ultra ,Voluma
  • แบรนด์ Restylane รุ่น Lyft
  • แบรนด์ Belotero รุ่น Intense ,Volume
  • แบรนด์ Neuramis Deep

 

ใช้ปริมาณฟิลเลอร์ 1-4 cc (จำนวนขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพผิวของคนไข้แต่ละบุคคล) ทำให้ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์ สวย ดูมีมิติ เสริมโหงวเฮ้ง

 

– จมูก

 

นิยมใช้ ฟิลเลอร์

  • แบรนด์ Juvederm รุ่น Voluma

 

ใช้ปริมาณฟิลเลอร์ 1-2 cc (จำนวนขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพผิวของคนไข้แต่ละบุคคล) ทำให้รูปทรงจมูกสวยเหมาะกับใบหน้า เสริมโหงวเฮ้ง

 

– หน้าผาก

 

นิยมใช้ ฟิลเลอร์

  • แบรนด์ Juvederm รุ่น Volift ,Vobella
  • แบรนด์ Restylane รุ่น Vital
  • แบรนด์ Belotero รุ่น Balance
  • แบรนด์ Neuramis Deep

 

ใช้ปริมาณฟิลเลอร์ 4-6 cc (จำนวนขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพผิวของคนไข้แต่ละบุคคล) ทำให้ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์ ริ้วรอยตื้นขึ้น รูปทรงหน้าผากสวยดูเป็นธรรมชาติ เสริมโหงวเฮ้ง

 

– แก้ม หน้าแก้ม โหนกแก้ม

 

นิยมใช้ ฟิลเลอร์

  • แบรนด์ Juvederm รุ่น Ultra Plus ,Ultra ,Voluma
  • แบรนด์ Restylane รุ่น Classic ,Defyne ,Volyme
  • แบรนด์ Belotero รุ่น Soft ,Intense ,Volume
  • แบรนด์ Neuramis Deep

 

ใช้ปริมาณฟิลเลอร์ 1-4 cc (จำนวนขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพผิวของคนไข้แต่ละบุคคล) ทำให้รูปหน้าเรียว แลดูอ่อนเยาว์ เสริมโหงวเฮ้ง

 

– ใต้ตา

 

นิยมใช้ ฟิลเลอร์

  • แบรนด์ Juvederm รุ่น Vobella
  • แบรนด์ Restylane รุ่น Classic ,Refyne ,Vital Light
  • แบรนด์ Belotero รุ่น Soft ,Balance
  • แบรนด์ Neuramis Deep

 

ใช้ปริมาณฟิลเลอร์ 1-2 cc (จำนวนขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพผิวของคนไข้แต่ละบุคคล) ทำให้ใบหน้าสดใส รอยคล้ำใต้ตาจางลง ริ้วรอยใต้ตาและถุงใต้ตาจางหายไป

 

– ริมฝีปาก มุมปาก

 

นิยมใช้ ฟิลเลอร์

  • แบรนด์ Juvederm รุ่น Vobella
  • แบรนด์ Restylane รุ่น Classic
  • แบรนด์ Belotero รุ่น Balance ,Intense
  • แบรนด์ Neuramis Deep

 

ใช้ปริมาณฟิลเลอร์ 1-3 cc (จำนวนขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพผิวของคนไข้แต่ละบุคคล) ทำให้ปากดูอวบอิ่ม มีมิติ รูปทรงปากสวยดูเป็นธรรมชาติ รอยยิ้มสวย มีเสน่ห์

 

– คาง

 

นิยมใช้ ฟิลเลอร์

  • แบรนด์ Juvederm รุ่น Voluma
  • แบรนด์ Restylane รุ่น Classic ,Defyne ,Lyft
  • แบรนด์ Belotero รุ่น Volume
  • แบรนด์ Neuramis Deep

 

ใช้ปริมาณฟิลเลอร์ 1-2 cc (จำนวนขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพผิวของคนไข้แต่ละบุคคล) ทำให้ใบหน้าเรียวได้สัดส่วน รูปทรงคางสวยดูเป็นธรรมชาติ

 

– กรอบหน้า

 

นิยมใช้ ฟิลเลอร์

  • แบรนด์ Juvederm รุ่น Voluma ,Volux
  • แบรนด์ Restylane รุ่น Lyft
  • แบรนด์ Neuramis Deep

 

ใช้ปริมาณฟิลเลอร์ 1-3 cc (จำนวนขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพผิวของคนไข้แต่ละบุคคล) ทำให้ใบหน้าเรียวอย่างเป็นธรรมชาติ กรอบหน้าคมชัด

 

– ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก

 

นิยมใช้ ฟิลเลอร์

  • แบรนด์ Juvederm รุ่น Voluma ,Volift
  • แบรนด์ Restylane รุ่น Classic ,Defyne ,Lyft ,Volyme
  • แบรนด์ Neuramis Deep

 

ใช้ปริมาณฟิลเลอร์ 1-3 cc (จำนวนขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพผิวของคนไข้แต่ละบุคคล) ทำให้ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์ เสริมโหงวเฮ้ง

 

– ระหว่างคิ้ว

 

นิยมใช้ ฟิลเลอร์

  • แบรนด์ Juvederm รุ่น Vobella ,Volite
  • แบรนด์ Restylane รุ่น Vital Light
  • แบรนด์ Neuramis Deep

 

ใช้ปริมาณฟิลเลอร์ 1-2 cc (จำนวนขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพผิวของคนไข้แต่ละบุคคล) ทำให้ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์ เสริมโหงวเฮ้ง

 

– ผิวบริเวณใบหน้า

 

นิยมใช้ ฟิลเลอร์

  • แบรนด์ Juvederm รุ่น Volite
  • แบรนด์ Restylane รุ่น Vital ,Vital Light
  • แบรนด์ Belotero รุ่น Soft

 

ใช้ปริมาณฟิลเลอร์ 3-4 cc (จำนวนขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพผิวของคนไข้แต่ละบุคคล) ทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น ฉ่ำวาว กระชับ ผิวดูมีน้ำมีนวล ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์

 

– มือ

 

นิยมใช้ ฟิลเลอร์

  • แบรนด์ Juvederm รุ่น Vobella ,Volift
  • แบรนด์ Restylane รุ่น Vital Light
  • แบรนด์ Neuramis Deep

 

ใช้ปริมาณฟิลเลอร์ 2-4 cc (จำนวนขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพผิวของคนไข้แต่ละบุคคล) ทำให้ ผิวนุ่มชุ่มชื้น ผิวกระชับ ผิวดูมีน้ำมีนวล

 

– คอ

 

นิยมใช้ ฟิลเลอร์

  • แบรนด์ Juvederm รุ่น Volite
  • แบรนด์ Restylane รุ่น Vital Light
  • แบรนด์ Neuramis Deep

 

ใช้ปริมาณฟิลเลอร์ 3-4 cc (จำนวนขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพผิวของคนไข้แต่ละบุคคล) ทำให้ ผิวนุ่มชุ่มชื้น ผิวกระชับ ผิวดูมีน้ำมีนวล

 

 

การฉีดฟิลเลอร์เหมาะกับ

 

 

 

 

  1. บุคคลที่มีปัญหาริ้วรอยร่องลึกบริเวณใบหน้า มือ และลำคอ
  2. บุคคลที่ต้องการปรับแต่งรูปทรงบริเวณใบหน้า
  3. บุคคลที่ต้องการปรับสภาพผิวหน้า มือ และลำคอให้ชุ่มชื้น แลดูอ่อนเยาว์
  4. บุคคลที่มีปัญหารูขุมขนกว้างบริเวณใบหน้า

 

 

การฉีดฟิลเลอร์ ที่ ชินวีย์ คลินิก

 

 

 

 

แพทย์จะใช้เข็มปลายทู่ในการฉีด เพื่อลดการเกิดอาการบวมช้ำจากรอยเข็ม เพราะเข็มปลายทู่จะมีลักษณะเหมือนท่อ เมื่อเข้าไปใต้ผิวจะไม่ไปทำลายหลอดเลือด อีกทั้งก่อนฉีดฟิลเลอร์คุณหมอจะมีการฉีดยาชา (Lidocane) ทำให้คนไข้ไม่รู้สึกเจ็บเวลาฉีดฟิลเลอร์

 

นอกจากนี้คลินิกยังมีขั้นตอนในการทำหัตถการที่มีความสะอาด มีมาตรฐาน ผ่านการอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุขให้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย และใช้ฟิลเลอร์แท้ Hyaluronic Acid (HA) ได้รับการรับรอง และตรวจสอบมาตรฐานโดยองค์การอาหารและยาประเทศไทย จึงมั่นใจได้ถึงคุณภาพและความปลอดภัย ลดความเสี่ยงเรื่องการติดเชื้อ

 

ทีมแพทย์ที่ ชินวีย์ คลินิก

 

 

 

 

–              มีประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอร์มากกว่า 10 ปี มีความน่าเชื่อถือ มือเบา อธิบายรายละเอียดให้คนไข้เข้าใจ ดูแลคนไข้ ใส่ใจ

–             มีประสบการณ์ด้านการปรับรูปหน้า สามารถวิเคราะห์ ประเมินใบหน้าและแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด

–              มีความชำนาญในเทคนิคการฉีดฟิลเลอร์และกายวิภาคของเส้นเลือด

–              มีการวิเคราะห์ปริมาณยากับตำแหน่งที่ฉีดได้อย่างแม่นยำ

–              มีการใช้เทคนิค Draw Back ในระยะเวลาที่เหมาะสมและฉีดในชั้นผิวหนังที่ถูกต้อง

–              มีความเชี่ยวชาญด้านการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเสริมโหงวเฮ้ง

 

จึงมั่นใจได้ถึงผลการรักษาที่ดีมีประสิทธิภาพ ป้องกันการเกิดผลข้างเคียงจากการฉีดฟิลเลอร์ เช่น การบวมช้ำจากรอยเข็ม ,การอักเสบ ,การติดเชื้อหลังฉีดฟิลเลอร์ ,การฉีดเข้าเส้นเลือด ,ผิวหนังขาดเลือดจากฟิลเลอร์ (Skin Necrosis) ,เลือดคั่งใต้ผิวหนัง (Hematoma) ,ตาบอดจากฟิลเลอร์ไปอุดตันเส้นเลือดแดง (Central Retinal Artery) ,ลมพิษแบบรุนแรง (Angioedema) และ Delay Hypersensitivity เป็นต้น

 

โดยแพทย์จะเลือกใช้ยี่ห้อฟิลเลอร์และรุ่นฟิลเลอร์ที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับตำแหน่งการฉีด ลักษณะของผิวและชั้นผิว เช่น ในตำแหน่งที่ผิวมีลักษณะบาง แพทย์จะไม่นิยมฉีดฟิลเลอร์ชนิดที่มีความหนืดสูง เพราะหลังฉีดอาจทำให้เกิดก้อนได้ เป็นต้น เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและเหมาะสมกับใบหน้า

 

 

 

 

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์

 

 

  • ขั้นตอนที่ 1 แพทย์จะทำการประเมินลักษณะของใบหน้า ปัญหาผิว สอบถามคนไข้เกี่ยวกับบริเวณที่กังวล วางแผน เพื่อแนะนำยี่ห้อฟิลเลอร์และรุ่นที่เหมาะสมกับบริเวณที่ทำการรักษา
  • ขั้นตอนที่ 2 เจ้าหน้าที่จะทำการถ่ายภาพบริเวณที่จะทำการรักษา เพื่อวัดผลการเปลี่ยนแปลงก่อนและหลังการฉีดฟิลเลอร์
  • ขั้นตอนที่ 3 แพทย์จะทำการตรวจสอบฟิลเลอร์ เพื่อให้คนไข้มั่นใจว่าฟิลเลอร์ที่ใช้เป็นของแท้ โดยแสดงหลักฐานให้กับคนไข้ ดังนี้

 

– เลขทะเบียนอย.

– ป้ายภาษาไทยที่ข้างกล่อง

– เอกสารกำกับภาษาไทยที่อยู่ภายในกล่อง

– สติกเกอร์ โฮโลแกรม Galderma (สำหรับแบรนด์ Restylane เท่านั้น)

– เลข Lot ของฟิลเลอร์

โดยเลข Lot ต้องตรงกัน 4 จุดสำหรับแบรนด์ Juvederm คือ เลข Lot ที่กล่อง, เลข Lot ที่ซอง, เลข Lot ที่สติกเกอร์ และ เลข Lot ที่หลอด

โดยเลข Lot ต้องตรงกัน 2 จุดสำหรับแบรนด์ Restylane คือ เลข lot. ที่ข้างกล่อง และเลข lot. ที่หลอด

– แสดงเบอร์บริษัทยาเพื่อให้คนไข้สามารถโทรเช็คเกี่ยวกับการซื้อยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของคลินิก

สำหรับแบรนด์ Juvederm คือ Allergan Thailand (DKSH) โทร. 02-6404999 ต่อ 1

สำหรับแบรนด์ Restylane คือ Galderma โทร. 02-0231800 ต่อ 402

 

  • ขั้นตอนที่ 4 เจ้าหน้าที่จะทำความสะอาดบริเวณที่ทำหัตถการด้วย Micellar Cleaning Water และ น้ำยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  • ขั้นตอนที่ 5 แพทย์จะทำการฉีดยาชาเพื่อระงับความรู้สึกบริเวณที่ทำหัตถการและทำการฉีดฟิลเลอร์
  • ขั้นตอนที่ 6 แพทย์จะทำการแนะนำวิธีการดูแลหลังฉีดฟิลเลอร์

 

 

การเตรียมตัวก่อนการฉีดฟิลเลอร์

 

 

 

 

  1. งดดื่มแอลกอฮอล์และกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด เช่น การซาวน่า หรือ การออกกำลังกายหนัก (วิ่ง, ต่อยมวย, เต้นแอโรบิค) 24 ชั่วโมงก่อนทำหัตถการ
  2. งดรับประทานยากลุ่มแอสไพรินและกลุ่มNSAIDs เช่น Ibruprofen, Diclofenac หรือ Ponstan 1 สัปดาห์ก่อนทำหัตถการ
  3. งดรับประทานวิตามินหรืออาหารเสริมบางชนิด เช่น Ginko Biloba, Primrose Oil, Garlic, Vitamin E หรือ Ginseng 1 สัปดาห์ก่อนทำหัตถการ
  4. งดทายาหรือครีมชนิดผลัดเซลล์ผิวในบริเวณที่ทำหัตถการ เช่น Tretinoin (Retin-A), Retinols, Retinoids หรือGlycolic Acid 3 วันก่อนทำหัตถการ
  5. งดการ Wax หรือการโกนขนในบริเวณที่ทำหัตถการ 3 วันก่อนทำหัตถการ
  6. งดการเลเซอร์ในบริเวณที่ทำหัตถการ 3 วันก่อนทำหัตถการ

 

 

การดูแลหลังการฉีดฟิลเลอร์

 

  1. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก หลังทำหัตถการ 48 ชั่วโมง
  2. หลีกเลี่ยงการจับ การเกา การถูหรือการนวดในบริเวณที่ฉีด เพราะอาจทำให้เกิดการเคลื่อนตำแหน่งของตัวยา หลังทำหัตถการ 7 วัน
  3. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ หลังทำหัตถการ 5 วัน
  4. แนะนำดื่มน้ำเปล่า ภายหลังทำหัตถการใน 24 ชั่วโมงแรก โดยปริมาณที่แนะนำ 1.5-2 ลิตร/วัน หรือประมาณ 8-10 แก้ว/วัน เนื่องจากสาร HA มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำ เมื่อดื่มน้ำ โมเลกุลของน้ำจะไปจับกับโมเลกุลของสาร HA ทำให้ฟิลเลอร์ฟูขึ้นและคงสภาพอยู่ได้นานขึ้น
  5. หลีกเลี่ยงการสัมผัสความร้อน การสัมผัสน้ำอุ่นหรือน้ำร้อนในบริเวณที่ฉีด หลังทำหัตถการ 14 วัน
  6. หลีกเลี่ยงการอบไอน้ำ การซาวน่า การทำเลเซอร์ และการทำทรีทเมนส์ในบริเวณที่ฉีด หลังทำหัตถการ 14 วัน
  7. หลีกเลี่ยงการแต่งหน้า การทารองพื้น และการทาครีมบำรุงในบริเวณที่ฉีด หลังทำหัตถการ 12 ชั่วโมง

 

 

ข้อควรระวังการฉีดฟิลเลอร์

 

  1. หลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์ ในหญิงตั้งครรภ์หรือภาวะให้นมบุตร
  2. หลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์ ในบริเวณที่มีการอักเสบหรือการติดเชื้อ
  3. หลีกเลี่ยงในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานและผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  4. หลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์ปลอม ฟิลเลอร์ประเภทถาวร (Permanent Filler) ฟิลเลอร์แท้จากต่างประเทศที่ลักลอบนำเข้ามา (ฟิลเลอร์หิ้ว) เนื่องจากฟิลเลอร์ลักษณะนี้จะมีการขนส่งที่ไม่ได้คุณภาพและหลายต่อ ทำให้ฟิลเลอร์เสื่อมสภาพ เกิดผลข้างเคียงหลังฉีดตามมาได้ เช่น ฟิลเลอร์ไม่สลาย เกิดสารตกค้างภายในร่างกาย มีอาการบวม แดง อักเสบ และติดเชื้อหลังฉีด เป็นต้น

 

 

 

Share:

More Posts