รักษาฝ้า (Melasma Treatment)

 

ฝ้า (Melasma)

 

 

เป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่กวนใจใครหลายๆ คน ทำให้ใบหน้าไม่กระจ่างใส หรือทำให้ขาดความมั่นใจได้ ตำแหน่งที่พบฝ้าได้บ่อยคือบริเวณใบหน้า เช่น โหนกแก้มทั้ง 2 ข้าง, หน้าผาก, ขมับ, เหนือริมฝีปาก, จมูกและคาง มักเป็นทั้งด้านซ้ายและขวา ฝ้า เกิดจากเซลล์เม็ดสีใต้ชั้นผิวหนัง (Melanin Pigment) ทำงานผิดปกติ ฝ้าส่วนใหญ่จะปรากฎเป็นสีน้ำตาลอ่อนจนถึงน้ำตาลเข้ม อาจมีสีเทา สีดำ สีม่วงอมน้ำเงิน โดยจะขึ้นเป็นแถบ หรือ เป็นปื้นบริเวณใบหน้า ขึ้นกับชนิดของฝ้า ทั้งนี้ส่วนใหญ่ปัญหาฝ้าจะเกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะผู้หญิงในวัยกลางคน อายุประมาณ 30-40 ปี ชนชาติที่พบฝ้าได้บ่อยคือ ละตินอเมริกา เอเชีย แอฟริกา และชาวอาหรับ

 

 

ปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้า

 

 

 

 

ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่พบว่ามีข้อสันนิษฐานจากสาเหตุหลายประการ ดังนี้

 

  1. พันธุกรรม มีรายงานพบว่า 30-50 % มีประวัติคนในครอบครัวเป็นฝ้าจะมีปัจจัยเสี่ยงในการเกิดฝ้าได้มากกว่าคนที่ไม่มีประวัติ
  2. แสงแดด แสงแดดร่วมกับการทำงานที่มากเกินไปของเซลล์เม็ดสีบริเวณผิวหนัง เป็นปัจจัยสำคัญมากที่สุดของการเกิดฝ้า ตามทฤษฎีเชื่อว่าฝ้าเกิดจาก เซลล์เมลาโนไซต์ (Melanocyte) หรือเซลล์ที่สร้างเม็ดสีทำงานมากขึ้นกว่าปกติ จึงสร้างเม็ดสี (Melanin) ออกมามากเกินไป และลำเลียงขึ้นสู่ชั้นบนสุดหรือชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) โดยสาเหตุที่ทำให้เซลล์เม็ดสีทำงานผิดปกติ ส่วนใหญ่มาจากการได้รับรังสี UVA,UVB และ Visible Light มากเกินไป ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน เซลล์เม็ดสีนั้นมีหน้าที่กรองรังสี เมื่อผิวได้รับแสงแดดมากขึ้น เซลล์เม็ดสีก็จะถูกผลิตออกมามากขึ้นตามไปด้วย
  3. ฮอร์โมน ฮอร์โมนในร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป มีผลทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีมากขึ้น ซึ่งทำให้เกิดฝ้า เช่น ในภาวะตั้งครรภ์, การทานยาคุมกำเนิด หรือการทานยาทดแทนฮอร์โมนเพื่อรักษาภาวะหมดประจำเดือน เป็นต้น
  4. การรับประทานยาบางชนิด เช่น ยากันชัก (Phenytoin) และตัวยาที่มีปฏิกิริยาไวต่อแสง (Photo Toxic) มีผลทำให้ฝ้าเข้มขึ้นได้
  5. ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าที่มีผลข้างเคียงต่อผิว ผลิตภัณฑ์บางชนิดมีส่วนประกอบที่ระคายเคืองต่อผิว ทำให้ผิวบาง ซึ่งมีผลทำให้ฝ้าเข้มขึ้น หรือ การใช้เครื่องสำอางบางชนิดที่มีน้ำหอม สี หรือฮอร์โมนผสมอยู่ ก็มีส่วนทำให้เกิดฝ้าได้
  6. ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดฝ้าได้ด้วยเช่นกัน

 

 

ชนิดของฝ้า

 

 

 

 

 

แบ่งตามลักษณะ แบ่งเป็น 4 ชนิด คือ

 

  1. ฝ้าตื้น เกิดจากความผิดปกติบริเวณชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) มีลักษณะเป็นวง เล็กๆ สีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ขอบชัด มีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่าย
  2. ฝ้าลึก เกิดบริเวณชั้นหนังแท้ (Dermis) มีลักษณะสีน้ำตาลอ่อน สีเทา สีน้ำตาลเทาหรือสีม่วงอมน้ำเงิน ขอบไม่ชัด มักจะมีสีอ่อนกว่าฝ้าชนิดตื้น
  3. ฝ้าผสม คือมีทั้งฝ้าตื้นและฝ้าลึก เกิดบริเวณใบหน้า เป็นชนิดที่พบได้บ่อยสุด

 

 

แบ่งตามสาเหตุการเกิด แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ

 

  1. ฝ้าแดด เกิดจากรังสี UVA,UVB และ Visible Light จากแสงแดด ,หลอดไฟ ,แสงสีฟ้าจากคอมพิวเตอร์ หรือสมาร์ทโฟน
  2. ฝ้าเลือด เกิดจากความผิดปกติของการหลั่งฮอร์โมนในร่างกาย

 

 

วิธีการป้องกันการเกิดฝ้า

 

  1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรง

รังสี UV จากแสงแดดเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดฝ้า การหลีกเลี่ยงแสงแดดจึงเป็นการลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดฝ้าได้ดีที่สุด โดยเฉพาะในช่วง 10 โมงเช้า ถึงบ่าย 4 โมงเย็น ซึ่งเป็นช่วงที่มีรังสี UV เข้มข้นที่สุด หากหลีกเลี่ยงแสงแดดได้ยาก ควรป้องกันโดยการสวมหมวกปีกกว้าง หรือสวมเสื้อผ้าที่ปกปิดมิดชิดก่อนออกแดด

  1. ทาครีมกันแดดเป็นประจำ

ควรทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ เมื่อต้องสัมผัสกับแสงแดด ,แสงจากหลอดไฟ ,แสงสีฟ้าจากคอมพิวเตอร์ หรือหน้าจอสมาร์ทโฟน ควรเลือกครีมกันแดดที่ป้องกันได้ทั้ง UVA UVB  โดยครีมกันแดดควรจะมีค่า SPF 30 ขึ้นไป (เพื่อป้องกัน UVB) และต้องเป็นชนิด PA มากกว่า + 2 ขึ้นไป (เพื่อป้องกัน UVA) โดยทาทั่วหน้าทุกวัน ทาอย่างน้อย 30 นาทีก่อนออกแดด และทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง

  1. หลีกเลี่ยงการใช้ยา หรือฮอร์โมนเพศโดยไม่จำเป็น

เนื่องจากยา หรือฮอร์โมนเพศบางชนิด มีผลข้างเคียงทำให้เกิดฝ้าได้ เช่น ยาคุมกำเนิดหรือฮอร์โมน Estrogen ทดแทน, ยากันชักกลุ่ม Phenytoin และกลุ่มยาที่มีปฏิกิริยาไวต่อแสง แต่หากจำเป็นต้องใช้ ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนการใช้ยา

  1. หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนเพศ

เนื่องจากผลข้างเคียงของฮอร์โมนเพศบางชนิด อาจทำให้เกิดฝ้าได้ และเครื่องสำอางบางประเภทมีส่วนผสมที่กระตุ้นทำให้ฝ้าเข้มขึ้นได้ ถ้าหากใช้เครื่องสำอางแล้วพบว่า มีรอยดำขึ้นบริเวณใบหน้า ควรหยุดใช้เครื่องสำอางนั้นทันที

  1. หลีกเลี่ยงการ Sauna, อบไอน้ำ และโยคะร้อน เพราะการได้รับความร้อนจะเพิ่มการไหลเวียนเลือดบริเวณที่เป็นฝ้า ทำให้กระตุ้นฝ้าโดยเฉพาะฝ้าเลือดเข้มขึ้นได้
  2. หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีส่วนผสมของ Hydroquinone ที่มีความเข้มข้นสูงกว่ามาตรฐาน โดยมาตรฐานทางการแพทย์ Hydroquinone กำหนดให้อยู่ในส่วนผสมยาไม่ควรเกิน 2% เพราะ Hydroquinone ที่เกินค่ามาตราฐานจะทำให้ผิวบางลงและไวต่อแสงมากขึ้น บุคคลที่ใช้ความเข้มข้นสูงกว่ามาตรฐานกำหนด จะเกิดผลข้างเคียง คือ สำหรับคนที่ใช้ในระยะสั้น ฝ้าจะมีลักษณะแดง ดำ คล้ำกว่าเดิม สำหรับคนที่ใช้ในระยะยาว จะเกิดจุดสีดำอมเทา และอาจเกิดเป็นฝ้า (Ochronosis) ได้ ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยาชนิดนี้
  3. หลีกเลี่ยงการใช้ยาหรือครีมที่มีส่วนผสมของสารปรอท เพราะอาจทำให้เกิดรอยด่างขาว (Hypo Pigment) และเกิดฝ้าถาวรได้

 

 

วิธีการรักษาฝ้า

 

โดยปกติแล้ว ฝ้าถ้าเกิดจากสาเหตุกระตุ้นบางประเภท เช่น ภาวะหลังคลอดบุตร ,การหยุดยาคุมกำเนิดหรือฮอร์โมนทดแทน ฝ้าจะสามารถจางลงได้เองถ้าสาเหตุกระตุ้นหายไปหรือลดลง

 

ส่วนฝ้าที่เกิดจากสาเหตุอื่น การรักษาฝ้ามีหลากหลายวิธี ที่ชินวีย์ คลินิก แพทย์เฉพาะทางผิวหนังจะทำการวินิจฉัยประเภทของฝ้า และ แนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับฝ้าชนิดนั้นๆ

 

โดยวิธีการรักษาฝ้าที่ชินวีย์ คลีนิคมี 2 วิธี ดังนี้

 

  1. การรับประทานยาและทายารักษา

รักษาโดยยาทา เช่น Azelaic acid, Arbutin และ Glycolic acid เป็นต้น แพทย์จะมีการจ่ายยาทาตามประเภทของฝ้าและดุลพินิจของแพทย์ผู้ทำการรักษา การทายาจะช่วยกำจัดเม็ดสี ตัวยามีความปลอดภัย ปราศจากสารปรอท ไม่ระคายเคือง นอกจากนี้แนะนำรักษาร่วมกับทานยาวิตามินกลุ่ม antioxidant เช่น วิตามินA,C,E และยาลดการสร้างเม็ดสี แนะนำรักษาต่อเนื่องประมาณ 4-6 เดือนขึ้นอยู่กับความเข้มของฝ้า จะช่วยให้สีของฝ้าจางลง และทำให้หน้าดูขาวกระจ่างใสขึ้น

  1. การใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์

ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีทางการแพทย์มากมายที่ช่วยในการรักษาฝ้า ที่ชินวีย์ คลินิก ใช้การรักษาแบบฉีด และ ทรีทเมนต์

  • การรักษาแบบฉีด ให้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย การรักษาอยู่ในความดูแลของแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง การรักษาด้วยการฉีดยาสลายฝ้า ทำให้เม็ดสี Melanin จางลง ไม่ต้องพักฟื้น แนะนำรักษาต่อเนื่อง 4 – 6 ครั้ง ห่างกัน 1 – 2 สัปดาห์
  • การรักษาด้วยทรีทเมนต์รักษาฝ้า เป็นการใช้เครื่องมือทางการแพทย์ผลักวิตามินเข้มข้นสูตรเฉพาะที่ชินวีย์คลีนิคเข้าสู่ผิว การรักษาด้วยวิธีนี้จะช่วยให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพและเร่งการสร้างเซลล์ผิวใหม่ นอกจากนี้ยังไปช่วยขจัดเม็ดสีที่มีมากเกินไป ทำให้สีของฝ้าและรอยคล้ำจางลง หน้าขาวกระจ่างใส การรักษาด้วยวิธีนี้แนะนำรักษาต่อเนื่อง 5 – 8 ครั้ง ห่างกัน 1 – 2 สัปดาห์

 

ทั้งนี้ การรักษาฝ้ายังไม่มีวิธีการใดที่สามารถรักษาฝ้าให้หายขาด เพียงแค่ทำให้ฝ้าจางลง และควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรง และจำเป็นต้องทาครีมครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันฝ้ากลับมาเข้มขึ้นได้

 

การรักษาฝ้าควรได้รับคำแนะนำและรักษาภายใต้แพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง แพทย์จะทำการประเมินตรวจสอบสภาพผิวหน้า วินิจฉัยโดยแยกชนิดของฝ้า และ เลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับฝ้าชนิดนั้นๆ เพื่อผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย

 

Share:

More Posts